แต่กระนั้น มนุษย์ย่อมมีอารมณ์รู้สึกที่หลากหลาย ทั้งรักโลภโกรธหลง ผิดหวัง รื่นรมย์ สับสน โดยสุดที่นักประวัติศาสตร์ผู้เคร่งครัดในความจริงจะสามารถบรรจุลงไปในสารานุกรมประวัติศาสตร์ได้ทั้งหมด จึงเป็นหน้าที่ของ “ศิลปิน” ที่จะเติมเต็มช่องว่างทาง “อารมณ์” ของห้วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ร่วมสะท้านสะเทือนใจไปกับ “ความเป็นมนุษย์” ที่ดำรงคงอยู่ในจิตใจของทั้งผู้แพ้และผู้ชนะในปี 1273 ราชวงศ์ซ่งใต้ที่ได้ชื่อว่า “รุ่มรวยศิลปะ เลอเลิศวิทยาศาสตร์ เจริญมั่งคั่งด้วยการค้า” กำลังเผชิญภาวะวิกฤตทางด้านการทหาร เนื่องจากเมือง “เซียงหยาง” ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศได้ถูกปิดล้อมด้วยแสนยานุภาพอันเกรียงไกรของกองทัพมองโกล ซึ่งหากกำหนดกลยุทธ์ทางการทหารผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย โฉมหน้าประวัติศาสตร์โลกก็อาจพลิกเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง
“เฟิ่งเกอ” ยอดนักประพันธ์นิยายกำลังภายในจีน ได้นำเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่แสนเร้าใจในช่วงนี้ มารังสรรค์เป็นนวนิยายที่ยิ่งใหญ่ “มหากาพย์ภูผามหานที ตอน วีรกรรมผู้กล้า” เพื่อบอกเล่าถึงการต่อสู้ช่วงชิงของผู้คนในยุคนั้น โดยสอดแทรกตัวละครสมมติ พร้อมทั้งความขัดแย้งสับสนในจิตใจ ที่สามารถปรุงรสให้เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ช่วงนี้มีรสชาติละเมียดละไมยิ่งขึ้น
“นับตั้งแต่มันรับราชการเป็นทหาร ก็ทำศึกมาครึ่งชีวิต ต่อสู้จากเมืองเหอโจวถึงเมืองเซียงหยาง แม้ทราบว่าทัพมองโกลแข็งกล้า สุดท้ายต้องมีวันนี้ จึงตระเตรียมสู้ตาย แต่เมื่อวันนี้มาถึง กลับไม่ทราบทำอย่างไรดีนี่คือ “ความในใจ” ที่แสนสับสนว้าวุ่นของหลี่เต๋อ แม่ทัพรักษาเมืองเซียงหยาง ที่จะต้องตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต ระหว่างการถูกตราหน้าจาก “ประวัติศาสตร์” ว่าเป็นต้นเหตุแห่งความล่มสลายของประเทศชาติ หรือการทนเห็นราษฎรหลายหมื่นคนต้องแบกรับทุกข์ทรมานจากการฆ่าล้างเมืองอย่างเหี้ยมโหดของกองทัพมองโกล เพียงเพื่อแลกกับเกียรติยศอัปยศส่วนตัว
หากยอมจำนนจะสูญสิ้นเกียรติศักดิ์ ไม่ยอมจำนนจะเป็นเหตุให้ชาวเมืองเซียงหยางถูกสังหารสิ้น ระหว่างยอมจำนนกับไม่ยอมจำนนหักล้างกันเองวุ่นวาย พลันหวนนึกถึงตอนอยู่ที่เมืองเหอโจว จับมือกับเหลียงเหวินจิ้งขับไล่ศัตรู ทำร้ายกษัตริย์มองโกลสิ้นพระชนมชีพ เลี้ยงฉลองชัยร้องเพลงหาญศึก วันนี้กลับถูกสถานการณ์บีบคั้นบังคับ ไม่ทราบเลือกทางเดินสายใดดี”
(มหากาพย์ภูผามหานที ตอน วีรกรรมผู้กล้า เล่ม 4 : 224)
แน่นอนว่า “การเตรียมใจสู้ตาย” ย่อมแตกต่างจากการเผชิญหน้าความตายอย่างลิบลับ เพราะไม่ใช่เพียงความเป็นความตายส่วนตัว แต่หมายถึงชีวิตของราษฎรหลายหมื่นคนที่ไม่รู้เรื่องราว ยิ่งกว่านั้น การหวนระลึกถึงชัยชนะอันรุ่งเรืองที่เมืองเหอโจว ก็ยิ่งทำให้ภาพความปราชัยย่อยยัยในเมืองเซียงหยางมีความงดงามในเชิงโศกนาฏกรรมยิ่งขึ้น
อัจฉริยภาพของ “เฟิ่งเกอ” ก็คือ การใส่ภาพความสับสนในจิตใจให้ผู้ชนะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้แพ้ เพราะในขณะที่ “เหลียงเซียว” กำลังยินดีภาคภูมิกับชัยชนะของฝ่ายตนอยู่นั้น เขาเองก็ต้องเผชิญกับทางเลือกระหว่างเกียรติประวัติในชัยชนะทางการทหารที่เป็นเรื่องชั่วคราวกับชัยชนะในวิชาคณิตศาสตร์ที่นิรันดร์ยั่งยืนกว่าแน่นอนว่า “ปาเยียน” แม่ทัพผู้เกรียงไกร ก็ย่อมมีเหตุผลที่ดีงามในการเข้าร่วมยึดครองโลกด้วยการรับใช้จักรวรรดิมองโกลอันยิ่งใหญ่ แต่กระนั้นเหตุผลในการดื่มด่ำกับวิชาคณิตศาสตร์ของ “ลังหยา” กับเหตุผลในการสร้างคุณูปการด้านปฏิทินให้กับมวลมนุษยชาติของ “กั่วโส่วจิ้ง” ก็ล้วนแล้วแต่มีความเย้ายวนใจในตัวเอง
อย่างไรก็ตาม “คณิตศาสตร์” ที่บริสุทธิ์สวยงามก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เลอเลิศและแยกขาดจากการเมืองได้ เพราะขณะที่ปรมาจารย์ “นัสซูลาติน” ที่แสนเคียดแค้นจักรวรรดิมองโกล ก็ต้องยอมสยบและรับใช้ผู้มีอำนาจเพียงเพื่อแลกกับโอกาสในการสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ที่หอดูดาวเมืองมาลากา เช่นเดียวกับการจัดทำปฏิทินที่หากไม่มีอำนาจอันแพร่ไพศาลครอบคลุมดินแดนอันกว้างใหญ่แล้ว ก็ไม่อาจสำรวจวัดเพื่อจัดทำปฏิทินที่แม่นยำได้เลย
ในนิยายอิงประวัติศาสตร์ของหวงอี้ ที่แยกชัดเจนระหว่างชนชั้นนักกลยุทธ์กับชนชั้นสำเร็จเป็นเซียน ก็ย่อมไม่มีความสับสนในจิตใจของแต่ละคนที่จะเลือกระหว่างชีวิตราษฎรกับเกียรติยศส่วนบุคคล ในขณะที่ตัวละครฝ่ายดีของกิมย้งนั้น ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่ความรังเกียจเดียดฉันท์สงคราม จึงทำให้ไม่บังเกิดความขัดแย้งสับสนเช่นนี้
แต่สำหรับตัวละครของเฟิ่งเกอนั้น นอกจากจะเกิดความสับสนระหว่างขุนเขาแห่งเกียรติศักดิ์ส่วนตัวกับชีวิตราษฎรตาดำๆแล้ว ยังมีรูปแบบความทะยานอยากเยี่ยงปัญญาชนที่กระหายใคร่รู้ โดยเฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์ จึงทำให้ความขัดแย้งระหว่างทางเลือกต่างๆของชีวิตมีสีสันและความสลับซับซ้อนใกล้เคียงกับโลกความจริงที่แสนวุ่นวายยิ่งนัก
นี่อาจเป็น “เสน่ห์” ที่แตกต่างของเฟิ่งเกอ ซึ่งสามารถนำความขัดแย้งในจิตใจของมนุษยชาติ มาตีแผ่ได้อย่างสุขุมแนบเนียน จึงทำให้ผู้อ่านทุกคนดื่มด่ำคล้อยตาม และย่อมบังเกิดความรู้สึกว่า “สงคราม” เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตมนุษย์เท่านั้น
ลังหยากล่าวว่า “อาจารย์อยู่ที่หอดูดาวมาลากา แคว้นอีลิข่าน นั่นเป็นหอดูดาวที่งามตระการที่สุดในโลก เก็บสะสมตำรับตำรานับไม่ถ้วน มีเครื่องมือดาราศาสตร์ที่ดีที่สุด ทุกวันท่านอาจารยจะอยู่ที่นั่น สดับฟังเสียงดวงดาวบนท้องฟ้า” เอ่ยถึงตอนนี้ สีหน้าทอแววเคารพเทิดทูนขึ้นในท่ามกลางจิตใจที่พุ่งทะยานของคนหนุ่มเยี่ยง “เหลียงเซียว” ย่อมปรารถนาที่จะต่อสู้แข่งขันเพื่อช่วงชิงความเป็นที่หนึ่ง ไม่แตกต่างกับการทำสงครามชิงแผ่นดินของชาวมองโกล แต่สำหรับปัญญาชนผู้หมกมุ่นในการไขความลับของจักรวาลและดวงดาราแล้ว ก็ย่อมมีวิธีคิดที่แตกต่างไป โดยมีความสุขดื่มด่ำกับการได้แลกเปลี่ยนประกายปัญญากับผู้รู้ใจ ซึ่งผลแพ้ชนะใดๆล้วนไม่มีคุณค่าสาระ
เหลียงเซียวขบคิดแล้วกล่าว “ลังหยา หากท่านกลับแคว้นอีลิข่าน โปรดบอกต่อนัสซูลาตินว่า ข้าพเจ้าพอเสร็จเรื่องในแดนจงหยวน จะไปขอรับคำแนะนำสั่งสอนที่หอดูดาวมาลากา ดูว่าผู้ใดเป็นนักดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และผู้ใดเป็นเทพผู้ปราดเปรื่องที่สุด”
...ลังหยายิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ไม่สนใจผลแพ้ชนะ เพียงยินดีต้อนรับการมาเยือนของผู้ทรงภูมิปัญญา” นางทอดถอนใจคำหนึ่ง ดวงตาทอประกายนึกฝัน กล่าวว่า “ข้าพเจ้าต้องการดูว่า เมื่อปัญญาชนผู้เปรื่องปราดแห่งอาหรับพบกับผู้ทรงภูมิความรู้แห่งดินแดนจงหยวน จะจุดประกายเยี่ยงไร?”
(มหากาพย์ภูผามหานที ตอน วีรกรรมผู้กล้า เล่ม 4 : 176-177)
ใช่หรือไม่ว่า ในชีวิตจริงของคนเรา ก็ล้วนแต่ต้องเผชิญกับ “ทางเลือก” ที่แตกต่างหลากหลาย เผชิญกับความสับสนว้าวุ่นใจในท่ามกลางสถานการณ์ที่บีบเค้นบังคับ ที่สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจของคนเราในบางครั้งก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความปรารถนาภายในใจเสมอไป แต่มาจากเหตุการณ์ภายนอกที่พลิกผันไม่แน่นอน
การตัดสินใจเลือกระหว่าง “ความนิรันดร์ของสมการคณิตศาสตร์” หรือ “อำนาจทางการเมืองอันหวานละมุนในช่วงสั้น แต่ไม่จีรังยั่งยืน” ย่อมไม่มีบทสรุปตายตัวว่าควรเลือกสิ่งใด ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับการประเมินคุณค่าภายในใจของแต่ละคน
นี่คือ “ความงาม” ที่มีรสละมุน ซึ่งค่อยๆผุดขึ้นมาจากการจิบอ่าน “มหากาพย์ภูผามหานที” ที่ภายใต้การต่อสู้ช่วงชิงอันดุเดือดของแต่ละฝ่ายแล้ว ยังมีอารมณ์อ่อนไหวที่เป็นสมบัติร่วมกันของมนุษยชาติทุกคนหลบซ่อนอย่างเอียงอายอยู่ภายใน
โดยเจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์ ต้นฉบับจาก Siam Intelligence Unit
เล่ม 4 เฟิ่งเกอเล่าเรื่องได้อึดอัดมาก(ประมาณว่ากัดฟันอ่าน) ทำให้อยากอ่านเล่ม 5 อย่างรวดเร็ว
ReplyDelete