6/10/2022

ตำนาน อาคันตุกะเคราครึ้ม แห่งราชวงศ์สุย-ถัง

นิยายเรื่องใหม่ของเยี่ยกวน "ยุทธจักร บูเช็กเทียน" ที่ทาง Siam Inter กำลังพิมพ์อยู่ในช่วงนี้ (มิถุนายน 2022) จับความช่วงราชวงศ์ถังตอนต้น ในช่วงที่บูเช็กเทียน จักรพรรดินีเพียงหนึ่งเดียวของประวัติศาสตร์จีนขึ้นครองราชย์

ตัวเอกของเรื่อง หยางฝาน มีโอกาสได้เจอกับ "อาคันตุกะเคราครึ้ม" ที่เคยตีชิงแผ่นดินกับหลี่เอียน-หลี่ซื่อหมิน ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ถัง แต่สุดท้ายเลือกไม่ชิงแผ่นดินแข่งกับตระกูลหลี่ และตัดสินใจเดินทางออกไปตั้งประเทศเองที่โพ้นทะเล (ในเรื่องนี้ระบุว่าเป็นหนันหยาง ก็คือทะเลจีนใต้ แถบมาเลเซีย-อินโดนีเซียกระมัง ไม่ได้ระบุชัด)

คนที่เคยอ่านนิยายประวัติศาสตร์จีนในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างราชวงศ์สุยมาเป็นราชวงศ์ถัง ซึ่งที่เด่นๆ ในไทยก่อนหน้านี้มี 2 เรื่องคือ มังกรคู่สู้สิบทิศ (หวงอี้) และ ขุนพลคู่บัลลังก์ (จิ่วถู) น่าจะคุ้นเคยกับตัวละครอย่าง "หลี่จิ้ง" ขุนพลคู่ใจของหลี่ซื่อหมิน (ในมังกรคู่ฯ ถือเป็นรุ่นพี่ที่โค่วจงให้ความเคารพ) และ "สตรีแส้ปัดแดง" (Hongfu) ภรรยาของหลี่จิ้ง กันมาบ้าง

แต่ในตำนานของจีนยังมีตัวละครอีกตัวคือ "อาคันตุกะเคราครึ้ม" (ภาษาอังกฤษแปลว่า Dragon-Beard Man เครายาวเหมือนมังกร) ที่ระบุว่าเป็นยอดฝีมือร่วมยุคเดียวกัน บังเอิญได้มาเจอกับหลี่จิ้ง-สตรีแส้ปัดแดง และสาบานตนกลายเป็นพี่ชายบุญธรรมของสตรีแส้ปัดแดงด้วย

ในเรื่อง "ขุนพลคู่บัลลังก์" นั้น จิ่วถูแต่งให้ตัวเอกของเรื่อง หลี่ซี เป็นนักรบช่วงปลายราชวงศ์สุย ที่เผชิญวิกฤตการณ์มากมาย ตอนหลังไว้เคราครึ้ม และตัดสินใจไม่รับใช้หลี่ซื่อหมิน จึงเลือกออกเดินทางไปต่างแดน (ในที่นี้คือดินแดนที่อยู่ระหว่างจีนกับเกาหลี)

ตัวละครทั้งสามถูกเรียกเป็น วีรบุรุษแห่งฝุ่นและลม (Three Heroes of the Wind and Dust) เท่าที่เข้าใจคือมีแต่หลี่จิ้งที่มีตัวตนจริงในประวัติศาตร์ ส่วนสตรีแส้ปัดแดงและอาคันตุกะเคราครึ้ม เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นในภายหลัง

พอมาหาข้อมูลของ อาคันตุกะเคราครึ้ม เลยพบว่าเรื่องนี้มีชื่อว่า ฉิวร่างเค่อจ้วน (Qiu Ranke 虬髯客传 แปลตรงตัวว่า "ตำนานอาคันตุกะเครามังกร")  ถูกแต่งขึ้นโดยตู้กวงถิง Du Guangting (杜光庭) นักเขียนที่มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 850-933 หลังจากหลี่เอียนสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ ถังเกาจู่ ประมาณสองร้อยกว่าปี (หลี่เอี่ยนเป็นกษัตริย์ปี 618, หลี่ซื่อหมินเป็นปี 626)

เรื่องนี้เริ่มจากหลี่จิ้ง ในช่วงตอนปลายราชวงศ์สุย ได้เจอกับขุนนางใหญ่ หยางซู่ (Yang Su) ที่เป็นพระอาของฮ่องเต้สุยหยางตี้ และได้พบกับสตรีแส้ปัดแดง (หงฝู่) ที่เป็นนางรำของหยางซู่ และกลายเป็นคนรักกัน ระหว่างที่ทั้งสองออกเดินทาง ได้เจอกับอาคันตุกะเคราครึ้มผ่านทางมา เขาระบุว่าตัวเองแซ่จาง เมื่อเจอกับสตรีแส้ปัดแดงแซ่จางเหมือนกัน จึงตกลงเป็นพี่ชาย-น้องสาวกัน

หลี่จิ้งและสตรีแส้ปัดแดง พบว่าอาคันตุกะเคราครึ้ม เป็นยอดฝีมือเชิงยุทธ์ เมื่อคุยกันถึงเรื่องอนาคตของแผ่นดิน หลี่จิ้งบอกว่าหมายตาไว้ว่า หลี่ซื่อหมิน โอรสอันดับสองของแผ่นดินจะกลายเป็นฮ่องเต้ มีรัศมีแห่งราชัน จึงชวนอาคันตุกะเคราครึ้มไปพบ

อาคันตุกะเคราครึ้มดูตัวหลี่ซื่อหมินแล้วพบว่ามีรัศมีแห่งราชันจริง ชวนเพื่อนนักพรตเต๋ามาดูยืนยันอีกรอบ แล้วตัดสินใจเชิญหลี่จิ้ง-หงฟู่ไปที่บ้านของตัวเอง ซึ่งพบว่าเป็นมหาคฤหาสถ์ที่ใหญ่และร่ำรวยมาก มีข้ารับใช้และบริวารมากมาย อาคันตุกะเคราครึ้มบอกว่าเดิมทีตั้งใจจะปกครองแผ่นดิน แต่เมื่อพบว่ามีกษัตริย์มาจุติแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นอีก เลยยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้หลี่จิ้ง-หงฟู่เป็นของขวัญแต่งงาน ในขณะที่ตัวเขาเองจะอยู่ที่ทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ และอีก 10 ปีให้หลังจะได้ยินข่าวว่าเขาตั้งอาณาจักรที่โพ้นทะเลขึ้น

ในอินเทอร์เน็ตมี text ภาษาอังกฤษของเรื่อง Dragon-Beard Man ด้วย เผื่อใครอยากอ่าน และพอมาค้นข้อมูลก็พบว่า น.นพรัตน์ เคยแปลสรุปไว้แล้วในท้ายเล่ม 7 ของขุนพลล่าบัลลังก์ (เคยอ่านแต่ลืมไปแล้ว) ซึ่งตัวเอก หลี่ซี เดินทางออกนอกกำแพงใหญ่ไปอยู่ใกล้เกาหลี ตั้งประเทศ และเรียกตัวเองว่า จางจงเจวียน






No comments:

Post a Comment