10/30/2009

มหากาพย์ภูผามหานที : “ความงามซึ้ง” ท่ามกลางวิกฤตชาติบ้านเมือง

ต้นฉบับจาก Siam Intelligence Unit โดยเจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์

“คุณธรรมน้ำมิตร” เป็นสิ่งที่ “ง่าย” ในการเอ่ยอ้าง หากทว่า “ยาก” ในการแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม

เฟิ่งเกอ คือ ดาวรุ่งจรัสแสงในแวดวงนิยายกำลังภายใน ที่สามารถเสกสรรค์ “เส้นทางใหม่” ในการแสดงออกซึ่ง “คุณธรรมน้ำมิตร” ที่โดดเด่นเกรียงไกรไม่ด้อยกว่าปรมาจารย์กิมย้ง โกวเล้ง และหวงอี้

“เหลียงเหวินจิ้ง” ชายหนุ่มซุกซนที่กำลังเดินทางอย่าง รื่นรมย์ท่ามกลางธรรมชาติขุนเขาอันงามสง่า กลับต้องเผชิญชะตาผันแปร เพียงเพราะมีใบหน้าละม้ายคล้ายเหมือน “ไหวอันอ๋อง” เจ้าชายแห่งราชวงศ์ซ่งใต้ที่กำลังเผชิญวิกฤตล่มสลายของชาติบ้านเมืองจากภัย คุกคามของชาวมองโกล

ไม่ต้องเดาก็คงทราบว่า “ไหวอันอ๋อง” จะต้องประสบเคราะห์กรรมและ “เหลียงเหวินจิ้ง” จะถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องสวมรอยแทน เพื่อหลอมรวมใจไพร่พลชาวซ่งเป็นหนึ่งเดียวในการต่อต้านชาวมองโกลอย่างถึงที่ สุด

ความท้าทายของ “เฟิ่งเกอ” จึงไม่ได้อยู่ที่พล็อตเรื่อง หากทว่าคือ การพัฒนาตัวละครให้มีสีสันแตกต่างจากร่มเงาของกิมย้ง โกวเล้ง และหวงอี้

“เหลียงเหวินจิ้ง” กลับไม่มีกลิ่นอายวีรบุรุษที่คร่ำเคร่งแบบ “ก้วยเจ๋ง” ของกิมย้ง แต่กระนั้นก็ยังคงรักษาความเป็นสุภาพบุรุษที่ดีงาม ซึ่งแตกต่างจากวีรบุรุษสไตล์นักกลยุทธ์แบบ “โคว่จง” ของหวงอี้

พระเอกของเฟิ่งเกอ จึงมีเสน่ห์ความงามในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือ ความบริสุทธิ์ดีงามของสุภาพบุรุษที่อ่อนต่อโลก แต่ขณะเดียวกันก็สามารถยืดหยุ่นและเข้าใจโลกมากขึ้นตามวันเวลาที่เปลี่ยน แปลงไป

“ก้วยเจ๋ง” ไม่ยอมอภัยให้ “อึ้งย้ง” จนกว่าจะได้รับหลักฐานที่แน่ชัดว่าบิดาของอึ้งย้งไม่ได้เป็นผู้เข่นฆ่าทำลาย “7 ประหลาดกังหนำ” อาจารย์ที่เคารพรักของก้วยเจ๋ง ในขณะที่ “เหลียงเหวินจิ้ง” ยังแอบรู้สึกดีต่อ “เซียวอี้หลิง” ในบางครั้งคราทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าศิษย์พี่ของเธอเป็นคนสังหารบิดาบังเกิด กล้าของตนเอง และเมื่อได้ผ่านประสบการณ์ในสนามรบอันโหดร้าย เขาก็เติบโตขึ้นมาอีกหนึ่งขั้นและยินยอมปลดเปลืองบุญคุณความแค้นทั้งมวล เพื่อความรัก

เสน่ห์อีกประการในฝีมือของ “เฟิ่งเกอ” ก็คือ ศิลปะการเล่าเรื่องให้ซาบซึ้งโดยไม่ต้องพร่ำพรรณา (show and don’t tell)

นวนิยายของกิมย้งพร่ำบ่นก่นประณามความเลวร้ายของสงคราม แต่กลับไม่มีฉากสงครามที่มีชีวิตชีวาเพียงพอที่จะทำให้เราได้ร่วมรู้สึกใน ความโหดร้ายที่เลือดต้องล้างด้วยเลือด ในขณะที่ “เฟิ่งเกอ” ได้บรรยายฉากสงครามที่ห่ำหั่นบีบคั้นไม่แพ้ “หวงอี้” ขณะเดียวกันก็ยังเพิ่มฉากสะเทือนใจที่ทำให้บิดาบังเกิดเกล้าของ “เหลียงเหวินจิ้ง” ต้องสังเวยชีวิตไปต่อหน้าต่อตาบุตรชายที่รักยิ่ง


“บิดาท่านพลีชีพเพื่อชาติ หลั่งเลือดทาแผ่นดิน วีรกรรมคงอยู่คู่ดินฟ้า แต่ว่ามันสู้ศึกเพื่ออะไร ? ยังมิใช่เพื่อเมืองเหอโจว เพื่อราชวงศ์ซ้องหรอกหรือ ? ยามนี้ไฟสงครามยังไม่สิ้น ท่านก็หลบหนีจากไป บิดาท่านในปรภพไยมิใช่ผิดหวังยิ่ง?”

(มหากาพย์ภูผามหานที ตอน ปฐมบทผู้กล้า : 243)

นี่อาจเป็นถ้อยคำที่หนักแน่นด้วยเหตุผลเฉียบคมด้วยวาจาและน่าจะตรงกับจิต ปณิธานของบิดาผู้ล่วงลับ แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนใจให้ “เหลียงเหวินจิ้ง” นึกละอายฟ้าดินและหวนกลับมาต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง

แต่หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารอันโหดร้ายที่จวนแม่ทัพ ได้กลับแปรเปลี่ยน “ชายหนุ่ม” ที่อ่อนแอและอ่อนต่อโลกคนหนึ่ง ให้กลับกลายเป็น “ชายชาติทหาร” ที่พร้อมจะพลีชีพเพื่อประชาราษฏร์และชาติบ้านเมือง

“เฟิ่งเกอ” แนบเนียนเพียงพอที่จะปล่อยให้ผู้อ่านขบคิดคาดเดาว่า “เหตุใดเหลียงเหวินจิ้งจึงเปลี่ยนใจเข้าร่วมรบ” ทั้งที่ผู้คนซึ่งล้มตายนั้นก็มีไม่มากนัก แถมยังไม่ใช่ญาติพี่น้องของตนเองอีกด้วย ในขณะที่ก่อนหน้านี้ บิดาของตนเองต้องพลีชีพไปเพื่อปกป้องบ้านเมือง ก็ยังไม่เคยบรรเจิดความคิดที่จะต่อสู้เช่นนี้เลย

บางทีอาจ “ไม่มีคำตอบ” เพราะนี่คือการเจริญเติบโตและเรียนรู้ของมนุษย์ ที่ไม่ใช่เพียงได้รับการอบรมสั่งสอนหรือเผชิญเหตุการณ์เพียงครั้งเดียว แล้วจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในจิตใจ แต่ต้องเกิดจากการสั่งสมเคี่ยวกรำของชีวิตทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งผลิบานเป็นความหยั่งรู้ของชีวิต

“แม่ทัพนายกองทุกท่าน พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย การศึกในวันนี้ไม่ใช่เพื่อปกป้องบ้านเมือง หากแต่เพื่อรักษาบ้านช่อง เพื่อบิดามารดาที่เคารพ เพื่อภรรยาอ่อนช้อยบุตรธิดาอ่อนเยาว์ เพื่อผู้อาวุโสทั่วทั้งเมือง”

(มหากาพย์ภูผามหานที ตอน ปฐมบทผู้กล้า : 286)

หากเป็น “สุนทรพจน์” ที่เอื้อนเอ่ยจากตัวละครของหวงอี้ เราก็อาจรู้สึกฮึกเหิมแต่จะไม่กินใจเพราะรู้ว่าเป็น “กลยุทธ์” เพื่อปลุกเร้าทหาร แต่หากเป็นถ้อยคำจากตัวละครของกิมย้ง เราก็จะรู้สึกซาบซึ้งด้วยคุณธรรมและความจริงใจ แต่ก็จะไม่รู้สึกยกย่องถึง “กลยุทธ์” ที่แอบแฝงอยู่ในการปลุกเร้าทหารให้สู้ถวายชีวิต

แต่สำหรับ “เหลียงเหวินจิ้ง” ในยามที่ตัดสินใจเข้าร่วมรบแล้ว คำพูดนี้ก็เป็นทั้งคำมั่นสัญญาที่จริงใจและกลยุทธ์เพื่อปลุกเร้าทหารพื่อจะ ได้กลับมาพบหน้าคนที่ตนรักอีกครั้ง

บทประพันธ์ของ “เฟิ่งเกอ” หากลิ้มรสขบอ่านเพียงผิวเผิน ก็อาจรู้สึกไม่ซาบซึ้งใจเท่าที่ควร เนื่องจากมีการบรรยายที่กระชับเรียบง่ายและซ่อนนัยความหมาย ไม่ได้จาระไนอย่างเลอเลิศทุกตารางนิ้วเฉกเช่นปรมาจารย์กิมย้ง ที่แผ่ซ่านไปทุกความรู้สึก ทุกอารมณ์ ทุกเหตุผล ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เต็มไปด้วยโครงสร้างกลยุทธ์ที่ซับซ้อนสอดรับกันอย่างดี ยิ่งเหมือนท่านเทพอักษราหวงอี้ หากทว่าเมื่อละเลียดอย่างลึกซึ้งแล้ว “ความงาม” จะค่อยๆผุดขึ้นมาในดวงใจ เป็นความงามสะทกสะท้อนที่เบ่งบานจากห้วงภายในอันแสนเงียบงัน

……………

ขอขอบคุณ คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ที่ทำให้ผมได้รู้จักเทคนิค Show and Don’t tell ในเรื่อง “จิ้งจอกอหังการ์” จึงทำให้ผมนำมาประยุกต์ใช้ในการอ่าน “มหากาพย์ภูผามหานที” ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ขอบคุณพี่ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย ที่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนและทำให้ผมได้เห็นความเรียบลึกในเรื่อง “มหากาพย์ภูผามหานที” โดยเฉพาะอิทธิพลต่างๆจากกิมย้งและหวงอี้

ส่วนความบกพร่องทั้งมวล เป็นของผู้เขียนเพียงผู้เดียว


คำวิจารณ์โดย ผศ.ดร. ภุชงค์ อุทโยภาศ

ผมว่าอ่านแล้ว น่าสนใจมาก เห็นด้วยกับคำวิจารณ์นะครับ ของกิมย้งที่บทพูดกระชับกินใจ นั้นน่าจะเกิดจากการขัดเกลามาหลายที ครับ

ในเรื่องนี้ เหลียงเหวินจิ้ง รับบทของคนธรรมดาที่ ตกไปในสถานะการณ์ที่ไม่ธรรมดา
เรื่องหน้าเหมือนกันนี่ ผมว่ามาจากเรื่อง Prisoner of zenda นะครับที่เล่นประเด็นนี้ได้อย่างเฉียบขาดมาก

ดูเผินๆ เหมือนสถานะการณ์สร้างวีรบุรุษ แต่ เฟิ่งเกอ วางงเรื่องได้ดี ครับ ตัว เหลียงเหวินจิ้ง ผ่านการเปลี่ยนแปลงและต่อสู่ในจิตใจอย่างช้าช้า สิ่งที่น่าสนใจ คือ เมื่อเจออุปสรรคจะสู้หรือจะหนี เหลียงเหวินจิ้งเลือกเหมือนคนส่วนใหญ่ครับ คือ หนี ไม่ได้เป็นพระเอกธรรมะแบบ ก้วยเจ๋ง ผมว่าเรื่องเด่นตรงนี้ด้วย คือ ตัวเอกก็เป็นคนแบบเราๆนี่แหละ มีดีมีชั่ว มีเข้มแข็งและอ่อนแอ ทำให้เรารู้สึกมีส่วนร่วมได้ดี กิมย้งมาเดินเรื่องแบบนี้เอาก็ตอนอุ้ยเซี่ยวป้อ แน่ะครับ

แต่สุดท้าย ตัวเอกก็เลือกเส้นทางวีรบุรุษเป็นเส้นทางชีวิตนะครับ สมเป็นพระเอก

เฟิ่งเกอ คุมตัวละครได้ดีกว่าหวงอี้ ใช้ตัวละครไม่มากแต่บุคคลิกเด่นชัด สอดคล้อง ทุกอย่างมีที่มาและเหตุผลที่ลงตัว แต่สีสันตัวละครยังไม่จัดจ้าเท่าโกวเล้ง ที่จงใจเน้นลักษณะพิเศษให้ตัวละครจนติดในใจคน

ใครเอ่ยที่พูดไปลูบจมูกไป
ใครเอ่ยเมื่อสังหารศัตรูต้องเป่าเลือดจากคมกระบี่
ใครเอ่ยใช้สองนิ้วคีบสรรพอาวุธในใต้หล้าได้
ใครเอ่ยขว้างมีดไปไม่มีใครสามารถหลบพ้น
ใครเอ่ยที่กินอาหารช้าๆ เหมือนอาหารเป็นมื้อสุดท้าย

บทบู๊ผมว่าดี อาจยังไม่เห็นภาพชัดๆเหมือน กิมย้งกับหวงอี้แต่ก็ น่าสนใจ พระเอกออกจะเก่งเร็วไปนิดแต่ก็ยอมรับได้

สรุปแล้ว ต้องขอขอบคุณทางท่านก่อศักดิ์นะครับ หาทางให้เรามีของดีอ่านเป็นระยะ

ผมตอบแทนด้วยการกินขนมจีบเซเว่น ไปด้วยตอนอ่านหนังสือแล้วกันครับ

No comments:

Post a Comment